วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วิดีโอการทำข้าวยำ



แบบสอบถาม

https://docs.google.com/forms/d/1oCnVw1zT9qO_AcyFwBOtBNJBh8R-zUoCczt9zfdSJeI/viewform?usp=send_form

วิธีทำการทำน้ำข้าวยำ


วิธีทำการทำน้ำข้าวยำ

       1. นำน้ำบูดู น้ำสะอาด  ตะไคร้ ข่า หอมแดง และน้ำมะขามเปียก ใส่หม้อตั้งไฟ เคี่ยวจนเดือด จากนั้นราไฟให้ไฟอ่อนๆแล้วเคี่ยวสักพักจนได้ที  จากนั้นเอาไปกรองเอากากออก
       2.นำน้ำบูดูที่กรองแล้วตั้งไฟอีกครั้งใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย และใบมะกรูดลงเคี่ยวไฟอ่อน จนงวด ชิมรสเค็ม ๆ    หวาน ๆ แต่อย่าให้หวานมาก
       3.วิธีรับประทาน ตักข้าวสวยนิดหน่อยใส่จาน โรยด้วยสะตอ ตะไคร้ หอมแดง มะม่วง ส้มโอ ถั่วฝักยาว แตงกวา มะพร้าวคั่ว ปลาป่น ถั่วงอก พริกป่น และใบมะกรูด แล้วราดด้วยน้ำ ยำบูดู บีบมะนาวนิดหน่อย    คลุกเคล้าให้เข้ากัน



คุณค่าทางโภชนาการ





คุณค่าทางโภชนาการ

          ข้าวยำปักต์ใต้ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 1141 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
             
                 - น้ำ 589.7 กรัม
                - โปรตีน 31.1 กรัม
                - ไขมัน 18.0 กรัม
                - คาร์โบไฮเดรต 217.3  กรัม
                - กาก 11.8 กรัม
                - แคลเซียม 191.9 มิลลิกรัม
                - ฟอสฟอรัส 363 มิลลิกรัม
                - เหล็ก 200 มิลลิกรัม
                - เรตินอล 13.2 ไมโครกรัม
                - เบต้า แคโรทีน 54.8 ไมโครกรัม
                - วิตามินเอ  677.4 มิลลิกรัม
                - วิตามินบีหนึ่ง 825.18 มิลลิกรัม
                - ไนอาซิน 7.77 มิลลิกรัม
                - วิตามินซี 68.80 มิลลิกรัม




เครื่องปรุงการทำน้ำข้าวยำ

น้ำบูดู       1/2       ถ้วย
ตะไคร้ทุบ         1    ต้น 
ข่าหั่นแว่น     3       แว่น
น้ำตาลปีบ    3    ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูด      3-4      ใบ
น้ำสะอาด    1/2      ถ้วย
หอมแดง      5      หัว
น้ำมะขามเปียก    2     ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย     2     ช้อนโต๊ะ



ประโยชน์ของข้าวยำ






ประโยชน์ทางอาหาร

               ข้าวยำปักษ์ใต้ที่ปรุงสำเร็จแล้ว จะออกรสหลายรสด้วยกัน ได้แก่ รถมันของมะพร้าว รสเปรียวจากมะม่วงดิบ และน้ำมะนาว รสเค็มหวานจากน้ำบูดู รสเผ็ดของพริกป่น เรียกว่าเป็นอาหารที่บำรุงธาตุก็ไม่ผิดนัก อร่อยครบเครื่องด้วยสุขภาพ แล้วยังสามารถต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย เนื่องจากข้าวยำเป็นอาหารที่มีเส้นใยจากผักหลายชนิด จากข้าวกล้องเป็นจำนวนมาก หากการกินอาหารที่ไม่มีเส้นใย หรือมีไขมัน และเนื้อสัตว์มากเกินไป อาหารพวกนี้เมื่อถูกกับน้ำย่อยแล้ว จะก่อตัวเหนียวเกาะติดกับผนังลำไส้ใหญ่ หากไม่ได้ถ่ายทิ้งนานเข้าจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เกิดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้  ดังนั้นจึงควรหันมากินอาหารที่มีเส้นใยจากผัก ผลไม้ และข้าวกล้อง ฯลฯ กันดีกว่า



ข้าวยำนรา

ประวัติข้าวยำ





            เมื่อกล่าวถึง ข้าวยำ ทุกคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะเป็นอาหารประจำวัฒนธรรมของพื้นที่นี้ แต่ดิฉันเชื่อว่า หลายคนคงยังไม่รู้ที่มาที่ไปของสูตรหรือคุณค่าของสารอาหารในข้าวยำ

           เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาดิฉันได้ไปพูดคุยกับ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร คือ สุรวิทย์ สือมุ อายุ 41 ปี บ้านบาโงสาเมาะ อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี อีกทั้งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ “ชมรมการแพทย์ลังกาสุกะ”  ศูนย์อยู่ที่จังหวัด ยะลา

           นายสุรวิทย์ เล่าอย่างภาคภูมิใจว่า ข้าวยำเป็นอาหารพระราชวัง เกิดขึ้นสมัยราชอาณาจักรของพระยานคร ขณะนั้นเป็นช่วงเดือนถือศีลอด ปรากฏว่าหลายคนมีอาการปวดท้อง บ้างก็ท้องร่วง บ้างก็ท้องอืด เหตุเนื่องจากว่าหลายคนละศีลอดด้วยอาหารนานาชนิด และกินอาหารหนัก บางคนอยากกินไก่ย่าง ก็เริ่มกินไก่ย่างทันทีที่ละศีลอด อย่างนี้เป็นต้น เมื่อพระยานครทรงทราบจึงสั่งให้หมอประจำราชวังคิดแก้ปัญหา2 วันหลังจากนั้น หมอดังกล่าวก็บอกพระยานครว่า หลังจากนี้ ทุกคนต้องมาละศีลอดพร้อมกัน และกินอาหารสูตรที่เขาคิดค้นขึ้นมา นั่นก็คือข้าวยำนั่นเอง โดยสูตรข้าวยำดั้งเดิม ก็คือ ข้าวต้องมี 2 สี คือ สีดำและสีเหลือง ซึ่งสีดำใช้น้ำใบยอคั้น ซึ่งมีสรรพคุณสร้างอนุมูลอิสระ หรือเตยหอม(ชนิดเล็ก)  ช่วยขับปัสสาวะ และบำรุงหัวใจ ทั้งนี้ข้าวมีสรรพคุณสร้างอนุมูลอิสระอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้าวกล้อง ซึ่งสมัยก่อนข้าวเปลือกนั้นเขาใช้วิธีตำ ฉะนั้นสารอาหารยังคงครบถ้วน  ต่างกับสมัยนี้ที่ใช้วิธีการสีข้าว ทำให้สารอาหารต่าง ๆ หายเกือบหมด

             ส่วนข้าวสีเหลือง ใช้วัตถุดิบเป็นขมิ้น ซึ่งมีสรรพคุณ แก้ท้องอืด เพราะมีรสฝาดและสมานแผลภายใน ลำไส้ ด้วย ทั้งนี้จะพบบ้างที่ใส่สีผสมอาหาร ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะมีแค่ชวนน่ารับประทานเท่านั้น ซึ่งหากใครเจอก็ควรบอกแม่ค้าก็คงจะดี

            สำหรับส่วนผสมของปลาป่น ความจริงสูตรดั้งเดิม จะมีกุ้งป่นผสมด้วย ซึ่งทั้งสองจะเป็นแหล่งโปรตีน ซึ่งนายสุรวิทย์ บอกว่า หากแม่ค้าใช้กุ้งป่นแล้ว คงไม่สามารถขายในราคาปัจจุบันได้ เพราะกุ้งมีราคาสูง ฉะนั้นปัจจุบันเราจะเห็นแม่ค้าใส่แค่ ปลาป่นเท่านั้น ส่วนมะพร้าวคั่ว มีสรรพคุณแก้ไขข้อ

            ในส่วนของผักต่าง ๆ ที่โรยหน้าจะมีส่วนผสมหลักดังนี้ ใบมะม่วงหิมมะพานต์มีรสฝาด ช่วยแก้ท้องร่วง, จันทร์หอม หรือภาคใต้บ้านเราเรียก กะเสม ช่วยแก้ท้องอืด และเจริญอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมชวนกินและบำรุงหัวใจด้วย นอกจากนี้ต้องมี ใบมะกรูด  เป็นชนิดน้ำมันหอมระเหย แก้ปวดข้อ แก้ท้องอืดด้วย และใบสมัคร มีรสขมหอม  ช่วยแก้ท้องร่วง และเจริญอาหาร ในขณะเดียวกันต้องมีหอมแดงสดหั่นประกอบด้วย ซึ่งเรามักจะไม่เห็นแม่ค้าใส่นัก โดยจะช่วยแก้ไข้  และหัวม่วง ช่วยขับลม แก้ท้องอืด สุดท้ายคือ พริกไทยสด แก้ท้องอืดเช่นกันสังเกตได้ว่า ผักในข้าวยำสมัยนี้มีแตงกวาอยู่ด้วย ซึ่งความจริงแล้ว แตงกวาจะเพิ่มทำให้ท้องอืดต่างหาก ฉะนั้นทางที่ดีไม่ควรกินแตงกวากับข้าวยำนะคะลืมไม่ได้ คือ น้ำบูดู จะประกอบด้วย น้ำตาลแว่น หอมแดง กระเทียม ข่า ตะไคร้ ขิง ยอดอ้อย ซึ่งมีกรดและติก ช่วยขับปัสสาวะ  ซึ่งบูดูจะมีสรรพคุณ เป็นโปรตีน ไอโอดีน และแคลเซียม หลังจากที่ผู้คนในวังมาละศีลอดพร้อมกันแล้ว ปรากฏว่า อาการท้องอืด ท้องร่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง อย่างไรก็ตาม หลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้น ให้ละศีลอดด้วยของหวาน หรือของว่าง ไม่ควรกินอาหารหนักทันที ซึ่งรสหวานจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือ อินทผาลัม ซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก  มีซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และน้ำมันโวลาไดท์ เป็นต้น มีเส้นใยมาก ช่วยลดอาการท้องผูกและทำให้ย่อยง่าย รวมทั้งให้พลังงานสูง นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย 

             เราได้รับรู้สรรพคุณของข้าวยำแล้ว ใครคนไหนที่ไม่เคยลองกิน ต้องลองหากินดูนะคะ อย่างปัตตานี ข้าวยำที่ขึ้นชื่อของบรรดาพี่ ๆ ที่กรุงเทพ ฯ ก็จะเป็น ร้านข้าวยำราชา หรือ ข้าวยำเบญจรงค์ห้า สี ซึ่งข้าวห้าสีเนี่ย หากใครเข้าไปกินแล้ว ก็ลองถามเจ้าของร้านว่า ได้สูตรนี้มาจากไหน